วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การเลือกซื้อครีมกันแดด และวิธีทดสอบการแพ้ครีมกันแดด


การเลือกซื้อครีมกันแดด 
    1.      ดูค่า SPF (Sun Protective Factor) และ PA  ปกติคนไทยมีผิวคล้ำ ซึ่งเม็ดสีสามารถป้องกัน UVB ได้บ้างแล้ว ดังนั้น  SPF มากกว่า 15-30 และ PA++ ขึ้นไป ก็เพียงพอ 
     2.      แต่หากมีกิจกรรม ออกกำลังกลางแจ้ง มีเหงื่อ ว่ายน้ำ ทำงานกลางแดด ต้องใช้ SPF ที่สูงขึ้น 30-50 และเลือกประเภทที่กันน้ำได้ (Water Proof หรือ Water Resistance)
     3.      จำนวนครั้งที่ทาต่อวัน ถ้าอยู่ในออฟฟิศ ห้องแอร์ วันละครั้งก็เพียงพอ แต่ถ้าต้องทำงานกลางแดด โดนลม อาจจะทาเติม ถ้าว่ายน้ำต้องทาทุก 2-3 ชั่วโมง
     4.      ทาแล้วก็ต้องเลี่ยงแดดด้วย ใส่แว่น ใส่หมวก เนื่องจากครีมกันแดดไม่ได้กันได้ 100 %
      5.      ยี่ห้อ หรือราคา ไม่สำคัญเท่ามีคุณสมบัติครบ ใช้งานง่าย ไม่มีปฏิกิริยาต่อผิวหนัง เช่น คัน ผื่น
           
วิธีทดสอบการแพ้ครีมกันแดด
          ให้ทาครีมกันแดดบริเวณใต้ท้องแขน ข้อพับ หรือหลังใบหูทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วสังเกตว่ามีอาการบวม แดง คันหรือไม่ ถ้าปรากฏอาการดังกล่าวแสดงว่าแพ้สารเคมีชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตามคนบางประเภท (delay sensitivity) จะใช้เวลานานกว่าจะปรากฏอาการแพ้ ดังนั้นจึงควรรอดูอาการถึง 24 ชั่วโมง หรือ 72 ชั่วโมง จึงจะสรุปได้ว่าไม่มีอาการแพ้จริงๆ

          ครีมกันแดดที่กันน้ำได้ เลือกที่มีส่วนผสมของ Silicone หรือระบุในฉลากว่ากันน้ำได้ มีวิธีการทดสอบด้วยตนเองโดยทาครีมให้ทั่วแขนแล้วจุ่มแขนลงน้ำแล้วยกแขนขึ้นมา น้ำจะไหลลงจากแขนไปหมด โดยไม่มีน้ำเกาะติดกับผิวเหมือนที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด        

ประโยชน์ของครีมกันแดด และวิธีใช้ครีมกันแดดเกิดประโยชน์สูงสุด


ประโยชน์ของครีมกันแดด
          ช่วยปกป้องการทำลายเซลล์ผิวหนัง จากรังสีอุลตร้าไวโอเลตในแสงแดด ซึ่งเป็นต้นเหตุของมะเร็งผิวหนัง และยังทำให้เกิดการสร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง ในคนเอเชียโอกาสที่จะเกิดมะเร็วผิวหนังมีไม่มากนัก ดังนั้นการใช้ครีมกันแดด จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน การเกิดจุดด่างดำบนผิวหนังมากกว่า

            การใช้ครีมกันแดดป้องกันอันตรายจากแสงแดดตั้งแต่เด็ก จะได้ผลดีกว่ามาเริ่มใช้เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งมีการเสื่อมของผิวหนังเกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากพิษภัยจากรังสีอัลตราไวโอเลตจะค่อยๆ สะสมทีละน้อย ตั้งแต่เด็กยิ่งเด็กๆ มีกิจกรรมกลางแจ้งมากเท่าในเมื่อโตขึ้นผิวหนังก็จะยิ่งเสื่อมมากขึ้นถ้าไม่มีการป้องกัน

            การใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ครีมกันแดดก็เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดซึ่งมีส่วนทำลายผิวให้เกิดความเหี่ยวย่น การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันจึงเป็นเสมือนการสร้างเกราะคุ้มกันให้กับผิวหน้า ถ้าหากว่าคุณไม่ค่อยได้เผชิญกับแสงแดดแรง ๆ ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ก็ถือว่าเพียงพอแล้วละค่ะ ในช่วงกลางวันที่แดดจ้า การหลบแดดถือว่าเป็นวิธีป้องกันผิวที่ดีที่สุด หรือถ้าต้องไปเผชิญแสงแดดในตอนกลางวันกันจริง ๆ คุณควรสวมหมวก ปีกกว้าง สวมแว่นกันแดด และใส่เสื้อผ้าโทนสีเข้ม เนื้อหนา ซึ่งจะช่วยป้องกันการทะลุผ่านของรังสี UV ทั้ง UVA ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดผิวคล้ำและริ้วรอย UVB ที่ทำให้ผิว ไหม้เกรียมได้ในระดับหนึ่ง

วิธีใช้ครีมกันแดดเกิดประโยชน์สูงสุด
1. ควรทาก่อนออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ประมาณ 15 นาที – 30 นาที เพื่อให้ครีมแห้งและจับตัวกับผิวชั้นหนังกำพร้า เป็นที่เรียบร้อยก่อน
2. ควรทาตามปริมาณที่กำหนด ไม่น้อยจนเกินไป
3. ในขณะที่ตากแดดเป็นเวลานานๆ หรือมีกิจกรรมที่มีเหงื่อ เปียกน้ำ ควรทาซ้ำบ่อยๆ เพื่อคงประสิทธิภาพไว้ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
4. ควรทาให้หนาสม่ำเสมอทั่วทั้งใบหน้า เพราะการทาไม่ทั่วจะทำให้เกิดผิวไหมบางส่วนได้ โดยเฉพาะต้นคอ และขมับที่พบบ่อยๆ
5. ควรทากันแดดทุกวัน เพราะรังสี UV เป็นรังสีที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สามารถทะลุผ่านกำแพง และกระจกได้อย่างสบาย หรือแม้แต่แสงจากหลอดไฟก็ทำให้เกิดผิวหน้าหมองคล้ำได้
           
            การป้องกันแสงแดดนั้นมีความสำคัญสำหรับคนทุกอายุไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถูกทำร้ายจากแสงแดดระยะสั้น หรือระยะยาวก็ตาม การตากแดดหรือการรับรังสีจากแสงแดดนานๆ อาการที่ทำให้เห็นในระยะเฉียบพลัน ทำให้ผิวหนัง มีอาการปวดแสบปวดร้อน แดง ผิวไหม้ ที่เลวร้ายที่สุดก็คือทำให้เกิด มะเร็งผิวหนัง ในระยะยาวทำให้เกิด ริ้วรอย กระ จุดดำตามผิวหนัง เส้นเลือดขยาย และจะพบว่ามีอาการหน้าแดง สภาพผิวโดยรวมเปลี่ยนและดูแก่กว่าวัย ท้ายสุดก็เกิดมะเร็งนั่นเอง
            จากการศึกษาวิจัยของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ พบว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสามารถป้องกันการทำร้ายจากแสงแดด และลดอุบัติการณ์ การเกิดมะเร็งที่ผิวหนังได้ เริ่มตั้งแต่การสวมเสื้อผ้าป้องกันแสงแดด แว่นกันแดด ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 เป็นอย่างน้อยเมื่อต้องเผชิญแสงแดด หรือแม้แต่วันที่มีเมฆหมอกก็ตาม 

ประเภทของครีมกันแดด ประสิทธิภาพของครีมกันแดด


ประเภทของครีมกันแดด
          ครีมกันแดดมีทั้งหมด 3 ประเภท ดังนี้คือ
1. Chemical Sunscreen
2. Physical Sunscreen

3. แบบผสม Chemical-Physical Sunscreen
          เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมี ทำหน้าที่ปกป้องแสงแดด โดยการดูดซับรังสีแสงแดดเข้าไว้ในผิว ไม่ให้ผ่านไปกระทบผิว สารกันแดดประเภทนี้จะยึดติดกับผิวได้ดี แต่หลังจากโดนแดดสักพัก สารเคมีเหล่านี้อาจเสื่อมสภาพ นั่นคือสาเหตุที่เราจึงต้องทาครีมกันแดดทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
          เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสาร ที่สามารถสะท้อนรังสี UVA และ UVB ออกไปจากผิวหนังได้ ซึ่งสารในกลุ่มนี้จะมีผลระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยกว่า และเมื่อทาบนผิวหนังแล้วจะเคลือบบนผิวหนังชั้นบน เพื่อรอแสงกระทบ

เป็นการเสริมข้อดี ลดข้อด้อยในแต่ละส่วน

ข้อดี: กันแสงได้บางช่วงคลื่นเท่านั้น (ขึ้นอยู่กันสารเคมีที่ใช้) ราคามักถูกกว่า
เวลาทาหน้าจะไม่ขาววอกมาก 

ข้อดี: กันแสงได้หลายช่วงคลื่น
ทั้ง UVA, UVA Visible Light และ Infrared
โอกาสแพ้มีน้อย ก่อให้การอุดตันหรือระคายเคืองน้อย
ทาแล้วไม่รู้สึกเหนียวเหนอะ
ลดการระคายเคืองต่อผิวหนังจากสารประเภทสารเคมี
และลดความขาวเมื่อทาครีมทา
แล้วดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ข้อด้อย : หากเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ ซึ่งมีส่วนผสมของสารเคมีปริมาณมาก อาจเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังโดยเฉพาะคนที่มีผิวแพ้ง่าย
ข้อด้อย : ไม่สามารถให้ SPF ที่สูงๆ ขนาด 80-100 ได้
บางยี่ห้อทาแล้วหน้ามักดูขาวขึ้น


ประสิทธิภาพของครีมกันแดด
          ในแสงแดดมีรังสีอยู่หลายชนิด ที่รู้จักกันดีก็คือ อุลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งรังสีนี้จะถูกดูดซับโดยชั้นโอโซน มีแค่ UVAและ UVB ที่ลงมาถึงพื้นโลก ซึ่งรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้มีผลต่อผิวหนังโดยเฉพาะ UVA มีผลทำให้เกิด กระ ฝ้า เหี่ยว แก่ก่อนวัย UVB มีผลทำให้เกิดการ แดง แสบ ไหม้ ของผิวหนัง และรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้ยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายโปรตีนพันธุกรรมทำให้เกิดเนื้องอกผิวหนังได้
SPF =  ค่าความสามารถในการป้องกันรังสี UVB
                     [ทำลายชั้นผิวด้านบนๆ -> หมองคล้ำ ผิวไหม้แดด ฝ้า กระ มะเร็งผิวหนัง]
PA =  ค่าความสามารถในการป้องกันรังสี UVA
                     [ทะลุลงไปถึงชั้นหนังแท้ -> ริ้วรอย เหี่ยวย่นก่อนวัย]
SPF (Sun Protection Factor) ค่านี้ หมายถึงว่า
            เมื่อทาครีมกันแดดแล้วทำให้ผิวทนต่อแสงแดด ไม่เกิดอาการแสบ แดงหรือไหม้ได้นาน เป็นกี่เท่าของผิวปกติที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด ยกตัวอย่าง เช่น หากเราอยู่กลางแจ้ง หรือโดนแดดประมาณ  25 นาที ผิวจะเริ่มแดงเมื่อใช้ครีมกันแดด SPF 15 จะสามารถปกป้องผิวได้นาน 15 เท่า คิดเป็นเวลาได้นาน 25x15 =375 นาที หรือประมาณ 6 ชั่วโมง                 
มีผลจากการวิจัยว่า
SPF 2   ปกป้อง UVB ได้  50%
SPF 10  ปกป้องได้  UVB 85%
SPF 15  ปกป้องได้  UVB 95%
SPF 30-50 ปกป้องได้  UVB 97%
ส่วนค่า PA (Protection Factor For UVA) บอกถึงประสิทธิภาพป้องกัน UVA คือ มีค่าแสดงจาก น้อย (+) ถึงมาก (+++) ดังนั้นครีมกันแดด ที่มีค่า pa สูง(+++) ก็จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยคล้ำบริเวณผิวจาก UVA ได้

        


เรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับครีมกันแดด !!!


เรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับครีมกันแดด

    1.      SPF ยิ่งสูง ก็จะยิ่งทำให้แพ้ได้ง่ายมากขึ้น
            SPF 50 คือค่าสูงที่สุดที่ KFDA รับรองและพิสูจน์แล้วว่าเพียงพอต่อการปกป้องแสงเเดด ไม่จำเป็นต้องใช้ให้สูงมากกว่านี้ ถ้า SPF ระดับสูงมากๆ เช่น SPF 70 หรือ SPF 90 แทนที่ผิวจะปลอดภัย กลับกลายเป็นได้รับสารเคมีเพิ่มเข้าไปในผิวซะอย่างงั้น โดยเฉพาะคนที่มีผิวบอบบาง และแพ้ง่าย การใช้ครีมที่มีค่า SPF สูง อาจทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองได้ง่ายขึ้น ทางออกที่ดีสำหรับผู้มีผิวบอบบาง คือ การใช้ครีมหรือโลชั่นกันแดดที่มีค่า SPF ต่ำลงมาสักหน่อย และขยันทาให้บ่อยครั้งอีกสักนิด

    2.      บางคนคิดว่าการอยู่ แต่ในห้องแอร์ไม่ต้องใช้ครีมกันแดด เป็นความคิดที่ผิด
            เพราะ เราได้รับรังสี UVA ได้จากเครื่องใช้สำนักงาน ตั้งแต่ หลอดไฟ รังสีคอมพิวเตอร์ รังสีจากเครื่องถ่ายเอกสาร ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า-กระ ได้ จึงไม่ควรที่จะละเลยการทาครีมกันแดด

     3.       ความร้อนทำครีมกันแดดเสื่อมสภาพ
            การเก็บครีมกันแดด ไว้ในสถานที่ร้อนจัดนานๆ เช่น ในรถยนต์ ที่มักจอดกลางแดดที่ร้อนระอุ หรือพกพา ครีมกันแดดไปริมทะเล แล้วตากแดดจ้าไว้นานๆ สามารถทำให้ครีมกันแดดหมดอายุเร็วกว่า ที่ระบุไว้บนฉลากนับปีเลยทีเดียว หากอยากให้ครีมกันแดด มีประสิทธิภาพยาวนาน ตามที่ควรจะเป็น ก็ควรเก็บรักษาไว้อย่างเหมาะสม แต่ไม่ต้องถึงกับใส่ไว้ในตู้เย็นหรอกนะคะ เพราะอากาศที่เย็นจัดเกินไป อาจทำให้ครีมเป็นไข แถมประสิทธิภาพบางอย่างในตัวครีมก็อาจถูกทำลายไปด้วย ทั้งนี้แนะนำว่า เก็บไว้ในอุณหภูมิห้องที่ไม่โดนแสงแดดส่องถึงก็เพียงพอ

    4.       ต้องทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง เมื่อออกแดดจัด
          หลายคนเมื่อออกแดดจัด เช่น เล่นน้ำทะเล โต้คลื่นลมเสียจนเพลิน มักหลงลืมเวลาที่จะทาครีม หรือโลชั่นกันแดดซ้ำอีกครั้ง ขอบอกว่า การออกแดดเพลินจนลืมเวลาเช่นนั้น จะส่งผลเสียต่อผิว มากเชียวค่ะ เพราะผลจากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง มีแนวโน้มเกิดผิวไหม้เกรียมมากกว่าผู้ที่ทาครีมกันแดดซ้ำ ทุกๆ 2 ชั่วโมง ถึง 5 เท่าเลยทีเดียว ฉะนั้น ก็ต้องไม่ลืมคำนวณเวลา กลับมาทาครีมซ้ำอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ
  
    5.       เปลือยผิวออกแดดเพียง 5 ครั้ง ก็เสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังแล้ว !
            Annet King หัวหน้าสถาบันผิวหนังนานาชาติแห่งสหรัฐอเมริกาให้ข้อมูลว่า เพียงแค่เราออกแดด (โดยไม่ทาครีมกันแดด) จนผิวไหม้เกรียม 5 ครั้ง ก็เท่ากับว่า เรามีความเสี่ยงเป็นมะเร็วผิวหนังมากกว่าคนทั่วไปถึง 5 เท่า! ดังนั้นแสงแดดทำร้ายผิวได้มากกว่าที่เราคิด เมื่อออกจากบ้านไปตากแดด ตากลม แล้วละเลยป้องกันผิว ผลกระทบที่ตามมาจึงไม่ใช่แค่ผิวดำ เกิดกระฝ้าเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลถึงขั้นก่อให้เกิดโรคร้าย ที่อันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว

    6.       สภาวะโลกแย่ ต้องพึ่งพิงครีมกันแดดสม่ำเสมอ
            เมื่อไม่นานมานี้ กรมอุตุนิยมวิทยาโลกได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ปัจจุบันก๊าซโอโซน (Ozone) ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันรังสียูวีระดับอันตรายจากแสงอาทิตย์ให้แก่โลก มีปริมาณลดลงกว่า 40% จึงส่งผลให้มนุษย์ มีโอกาสได้รับปริมาณรังสียูวีเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นข้อมูลที่บ่งบอกว่า ปัจจุบันแสงแดดทำร้ายผิวเราได้มากขึ้นทุกขณะ การทาครีมป้องกันแสงแดด จึงต้องเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันโรคร้ายอย่างมะเร็งผิวหนัง และยังเพื่อให้ผิวสวยใส ไร้จุดด่างดำอยู่กับเราไปนาน