ประเภทของครีมกันแดด
ครีมกันแดดมีทั้งหมด
3 ประเภท ดังนี้คือ
1. Chemical Sunscreen
|
2. Physical Sunscreen
|
3. แบบผสม Chemical-Physical Sunscreen
|
เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมี
ทำหน้าที่ปกป้องแสงแดด โดยการดูดซับรังสีแสงแดดเข้าไว้ในผิว
ไม่ให้ผ่านไปกระทบผิว สารกันแดดประเภทนี้จะยึดติดกับผิวได้ดี
แต่หลังจากโดนแดดสักพัก สารเคมีเหล่านี้อาจเสื่อมสภาพ
นั่นคือสาเหตุที่เราจึงต้องทาครีมกันแดดทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
|
เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสาร
ที่สามารถสะท้อนรังสี UVA และ UVB
ออกไปจากผิวหนังได้ ซึ่งสารในกลุ่มนี้จะมีผลระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยกว่า
และเมื่อทาบนผิวหนังแล้วจะเคลือบบนผิวหนังชั้นบน เพื่อรอแสงกระทบ
|
เป็นการเสริมข้อดี
ลดข้อด้อยในแต่ละส่วน
|
ข้อดี: กันแสงได้บางช่วงคลื่นเท่านั้น (ขึ้นอยู่กันสารเคมีที่ใช้) ราคามักถูกกว่า
เวลาทาหน้าจะไม่ขาววอกมาก |
ข้อดี: กันแสงได้หลายช่วงคลื่น
ทั้ง UVA, UVA Visible Light และ Infrared
โอกาสแพ้มีน้อย ก่อให้การอุดตันหรือระคายเคืองน้อย
ทาแล้วไม่รู้สึกเหนียวเหนอะ |
ลดการระคายเคืองต่อผิวหนังจากสารประเภทสารเคมี
และลดความขาวเมื่อทาครีมทา แล้วดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น |
ข้อด้อย : หากเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า
SPF สูงๆ ซึ่งมีส่วนผสมของสารเคมีปริมาณมาก
อาจเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังโดยเฉพาะคนที่มีผิวแพ้ง่าย
|
ข้อด้อย : ไม่สามารถให้ SPF ที่สูงๆ ขนาด 80-100 ได้
บางยี่ห้อทาแล้วหน้ามักดูขาวขึ้น
|
ประสิทธิภาพของครีมกันแดด
ในแสงแดดมีรังสีอยู่หลายชนิด ที่รู้จักกันดีก็คือ อุลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งรังสีนี้จะถูกดูดซับโดยชั้นโอโซน
มีแค่ UVAและ UVB ที่ลงมาถึงพื้นโลก
ซึ่งรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้มีผลต่อผิวหนังโดยเฉพาะ UVA มีผลทำให้เกิด
กระ ฝ้า เหี่ยว แก่ก่อนวัย UVB มีผลทำให้เกิดการ แดง แสบ
ไหม้ ของผิวหนัง และรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้ยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระ
ซึ่งจะทำลายโปรตีนพันธุกรรมทำให้เกิดเนื้องอกผิวหนังได้
SPF
= ค่าความสามารถในการป้องกันรังสี
UVB
[ทำลายชั้นผิวด้านบนๆ -> หมองคล้ำ ผิวไหม้แดด ฝ้า กระ มะเร็งผิวหนัง]
PA
= ค่าความสามารถในการป้องกันรังสี
UVA
[ทะลุลงไปถึงชั้นหนังแท้ -> ริ้วรอย เหี่ยวย่นก่อนวัย]
SPF
(Sun Protection Factor) ค่านี้ หมายถึงว่า
เมื่อทาครีมกันแดดแล้วทำให้ผิวทนต่อแสงแดด
ไม่เกิดอาการแสบ แดงหรือไหม้ได้นาน เป็นกี่เท่าของผิวปกติที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด
ยกตัวอย่าง เช่น หากเราอยู่กลางแจ้ง หรือโดนแดดประมาณ 25 นาที ผิวจะเริ่มแดงเมื่อใช้ครีมกันแดด SPF 15
จะสามารถปกป้องผิวได้นาน 15 เท่า คิดเป็นเวลาได้นาน 25x15
=375 นาที หรือประมาณ 6 ชั่วโมง
มีผลจากการวิจัยว่า
SPF 2 ปกป้อง UVB ได้ 50%
SPF 10 ปกป้องได้
UVB 85%
SPF 15 ปกป้องได้
UVB 95%
SPF 30-50
ปกป้องได้ UVB 97%
ส่วนค่า
PA (Protection Factor For UVA) บอกถึงประสิทธิภาพป้องกัน UVA คือ มีค่าแสดงจาก น้อย (+) ถึงมาก (+++) ดังนั้นครีมกันแดด ที่มีค่า pa
สูง(+++)
ก็จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยคล้ำบริเวณผิวจาก UVA ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น